
1. พระเจ้า
เราเชื่อว่า พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิจนิรันดร์และทรงเป็นผู้สร้างสิ่งสารพัดทั้งสิ้น มีพระองค์เดียว ทรงสำแดงพระองค์เป็นสามพระภาค คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามพระภาคนี้เท่าเทียมกัน แม้มีหน้าที่แตกต่างกัน แต่ร่วมกันในการช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป
ปฐมกาล 1:1
“ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน””
สดุดี 90:2
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทา“ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล”นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
2. พระเยซูคริสต์
เราเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงปฏิสนธิอย่างเหนือธรรมชาติ โดยฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และมนุษย์อย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน ทรงปราศจากบาปทั้งสิ้น ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์ และทรงคืนพระชนม์จากความตายในวันที่สามเพื่อให้พระประสงค์ของพระบิดาสำเร็จในเรื่องความรอด เพื่อคนทั้งปวงที่เชื่อจะรอดพ้นจากความบาป พระองค์เสด็จลอยขึ้นสู่สวรรค์ทั้งร่างกายของพระองค์ ขณะนี้พระองค์ทรงสถิตอยู่เบื้องขวาพระบิดา และวันหนึ่งในอนาคตจะเสด็จกลับมาด้วยพระองค์เองเป็นครั้งที่สอง เพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระองค์
ลูกา 1:30-33
“ทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า ‘มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู ‘บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่านและท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย’”
ยอห์น 3:16
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
3. พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ดลใจมนุษย์ให้สำนึกบาปและกระทำให้บังเกิดใหม่ สถิตอยู่ในผู้ที่เชื่อทุกคน เพื่อให้ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ และประทานของประทานแก่ผู้ที่เชื่อทุกคนแตกต่างกัน เพื่อช่วยในการดำเนินชีวิต และเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ เราเชื่อว่า ของประทานทุกอย่างที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ยังมีอยู่ในคริสตจักร และควรได้รับการส่งเสริมให้ใช้เพื่อเสริมสร้างพระกาย
ประสบการณ์การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ครั้งแรก เราเรียกว่า การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ถือเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแยกจากประสบการณ์บังเกิดใหม่ เพื่อฤทธิ์เดชในการเป็นพยาน หมายสำคัญเบื้องต้นของการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ การพูดภาษาแปลกๆ ตามที่พระวิญญาณฯ ทรงโปรดให้พูด
ผู้เชื่อทุกคนควรดำเนินชีวิตที่นบนอบต่อพระคริสต์ยอมอยู่ใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ
ยอห์น 14:16-17
“เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป
คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์”
กิจการของอัครทูต 1:8
“แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
4. พระคัมภีร์
เราเชื่อว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าได้ดลใจให้มนุษย์เขียนขึ้น โดยไม่มีข้อผิดพลาด และเป็นพระวจนะของพระเจ้า อันเป็นมาตรฐานสำหรับความเชื่อและการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ และเป็นแหล่งแห่งการสำแดงความจริงทุกประการ
2 ทิโมธี 3:16 -17
“พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง”
5. การประชุมนมัสการ
เราเชื่อว่า คริสเตียนต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง การนมัสการเป็นการเห็นคุณค่าพระเจ้าจึงต้องมีการแสดงออกของท่าทีในใจที่ถูกต้องต่อพระเจ้า และสอดคล้องกับพระคัมภีร์ ดังนั้นรูปแบบในการนมัสการจึงควรมีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งที่ปรากฏในพระคัมภีร์ทั้งหมด เช่น การมีส่วนร่วมในการนมัสการของสมาชิก การแสดงออกของการนมัสการของแต่ละบุคคล การใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการ การใช้ของประทานในที่ประชุม การมีบรรยากาศเป็นอิสระอย่างอยู่ในระเบียบของที่ประชุม เป็นต้น
ยอห์น 4:23-24
“แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง“
สดุดี 150:4
“จงสรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนาและการเต้นรำ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและปี่”
6. ทูตสวรรค์และวิญญาณชั่ว
เราเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์จำนวนมาก ทูตสวรรค์เหล่านี้ปราศจากบาป แต่เมื่อลูซิเฟอร์ได้ตั้งใจทำผิดบาปจึงกลายเป็นมารซาตาน ทูตสวรรค์บางส่วนที่ติดตามซาตานจึงเป็นผีวิญญาณชั่ว ซาตานกำลังครอบครองโลกแห่งความบาปนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่มีอำนาจเหนือพระเจ้า แม้มันพยายามที่จะทำลายแผนการของพระเจ้าและชีวิตมนุษย์
มัทธิว 4:10-11
“พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียวแล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์”
7. คริสตจักร
เราเชื่อว่า คริสตจักรสากลประกอบด้วยคนที่เชื่อวางใจในพระคริสต์ทั่วโลกและตลอดทุกยุคทุกสมัยรวมกันเป็นพระกายของพระคริสต์ ในแต่ละท้องถิ่นนั้นก็มีคริสตจักรท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยผู้เชื่อที่มารวมกัน และจัดการประชุมเป็นประจำ เพื่อนมัสการ ฟังคำสอนในพระวจนะ สามัคคีธรรม แบ่งปันประสบการณ์แห่งพระพร ร่วมพิธีมหาสนิท และอธิษฐาน เป็นต้น โดยปกติคริสเตียนทุกคนต้องเป็นสมาชิกของคริสตจักรท้องถิ่น
กิจการของอัครทูต 16:5
“คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกได้ทวีขึ้นทุกๆ วัน”
มัทธิว 16:18
“ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้”
8. พิธีบัพติศมาในน้ำและพิธีมหาสนิท
เราเชื่อว่า พิธีบัพติศมาในน้ำต้องปฏิบัติโดยวิธีจุ่มกายลงมิดน้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการตาย การถูกฝัง และการกลับคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ผู้ที่จะรับการบัพติศมาต้องเป็นผู้ที่เชื่อวางใจในพระคริสต์โดยการบังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น
สำหรับพิธีมหาสนิทเป็นพิธีที่ระลึกถึงการตายของพระเยซู ซึ่งผู้เชื่อทำเป็นประจำ จนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา
1 โครินธ์ 11:23-26
“เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับท่านแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาอายัดพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ครั้นขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก แล้วตรัสว่า ‘นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา’ เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงเรา”’ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”
9. มนุษย์
เราเชื่อว่า มนุษย์คู่แรกถูกสร้างมาในพระฉายของพระเจ้า แต่มนุษย์คู่แรกทำบาปโดยความตั้งใจ ทำให้มนุษย์ทั้งปวงตกอยู่ใต้อำนาจความบาปและทำบาป ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ มิฉะนั้นแล้วจะถูกลงโทษให้พินาศนิรันดร์ในนรก
ปฐมกาล 1:27
“พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”
โรม 5:12
“เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป””
10. การรักษาโรค
เราเชื่อว่า โดยปกติพระเจ้ามีพระประสงค์จะรักษาคริสเตียนที่ป่วยไข้ ยกเว้นในเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดให้เราจากโลกนี้ไปอยู่กับพระองค์ คริสตจักรจึงถือปฏิบัติตามพระบัญชาของพระคริสต์ที่สั่งให้สาวกรักษาคนเจ็บให้หายโรค โดยการอธิษฐานขอการบำบัดรักษาผ่านฤทธิ์เดชการอัศจรรย์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเราเชื่อว่าพระเจ้าปรารถนาจะรักษาโรคของเรา เราจึงไม่ปฏิเสธการรักษาผ่านแพทย์และยารักษาโรคด้วย ยิ่งกว่านั้นเราเชื่อว่า การรักษาโรคของพระเจ้าโดยปกติเกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ในบางเวลาพระองค์มีพระประสงค์ในการรักษาโรคอย่างค่อยเป็นค่อยไป
มาระโก 16:17-18
“มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”
11. การพิพากษานิรันดร์
เราเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนจะเป็นขึ้นมาจากความตายฝ่ายจิตวิญญาณในวันสุดท้าย คนที่เชื่อจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ เต็มไปด้วยพระพรนิรันดร์ ส่วนคนที่ไม่เชื่อจะได้รับการพิพากษาและรับโทษนิรันดร์ในนรก
ยอห์น 3:17-19
“เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม”
12. ความรอด
เราเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนจะรอดได้โดยการเชื่อวางใจในพระคุณของพระเจ้า มิใช่โดยความดีที่เขากระทำ ซึ่งความเชื่อและความวางใจในพระคริสต์อย่างแท้จริงย่อมหมายถึงการมีท่าทีกลับใจจากบาปอย่างแท้จริง
เอเฟซัส 2:8-9
“ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้”